ทำไมธุรกิจควรมีเว็บไซต์ เพื่อทำการตลาดออนไลน์

ทำไมธุรกิจควรมีเว็บไซต์ เพื่อทำการตลาดออนไลน์

ปัจจุบันธุรกิจควรมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเนื่องจากกลุ่มลูกค้าจำนวนมากหันมาจับจ่ายซื้อของทุกอย่างผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์มีมากขึ้น รวมไปถึงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นยอดขายทางอินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ต้องเปิดตัวเว็บไซต์เป็นอย่างแรกเพื่อการทำตลาดออนไลน์ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง

การเปิดเว็บไซต์ของตัวเองมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและการขายแบบออนไลน์ ถามว่าในเว็บไซต์ต้องมีอะไรบ้าง แน่นอนว่าการออกแบบเว็บไซต์จำเป็นต้องรู้ว่ากลุ่มลูกค้าเป็นใคร โดยวิเคราะห์สินค้าหรือบริการของเราว่าเหมาะกับใคร ลูกค้าช่วงวัยไหน มีรายได้เท่าไร และข้อมูลเบื้องต้นอื่นๆ ซึ่งมีผลต่อการออกแบบเว็บไซต์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย เช่นเดียวกับการเขียนบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสินค้าและแบรนด์ตรงกับความสนใจของลูกค้า อธิบายข้อมูลได้อย่างละเอียดชัดเจน สามารถแชร์ข้อมูลออกไปทำให้คนเห็นมากขึ้น

ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว

การค้นหาสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตทำได้ง่าย กดสั่งซื้อและชำระเงินสะดวกรวดเร็ว รอรับของที่บ้านได้เลย ทำให้เว็บไซต์กลายเป็นช่องทางจำหน่ายที่ลูกค้าเลือกใช้บริการมากขึ้น สามารถทำการตลาดและเผยแพร่ข้อมูลขายสินค้าหรือบริการได้อย่างมั่นคง พร้อมกันนี้การนำ SEO เข้ามาใช้ช่วยให้ค้นพบเว็บไซต์ง่ายขึ้น ซื้อขายสะดวกรวดเร็วตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้ทันที

แชทสอบถามความพึงพอใจและปัญหาที่พบเจอ

ระบบ Chat เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าสอบถามข้อสงสัยทำให้เกิดความประทับใจและสร้างยอดขายได้จริง เว็บไซต์ส่วนใหญ่มีช่องทางแชทเพื่อให้ลูกค้าสอบถามข้อมูลและข้อสงสัยต่างๆ ขณะเดียวกันยังสามารถร้องเรียนปัญหาความผิดพลาดต่างๆ ในทางกลับกันก็เป็นช่องทางให้ธุรกิจได้อธิบายและแก้ปัญหาให้จนกระทั่งลูกค้าพอใจและเชื่อมั่นในธุรกิจมีโอกาสปิดยอดขายมากขึ้น ผู้ประกอบการสามารถนำปัญหาที่ลูกค้าพบเจอมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น พร้อมกับโพสต์รีวิวสินค้าบนหน้าเว็บไซต์เป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ทำให้ลูกค้าติดใจและกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำอีก

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ค้นเจอง่าย

หลังจากที่เจ้าของธุรกิจเปิดเว็บไซต์ของตัวเองแล้วซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ควรใช้กลยุทธ์การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ของผลลัพธ์การค้นหาทาง Google ทำให้ลูกค้าเป้าหมายที่กำลังสนใจและค้นหาสินค้าหรือบริการอยู่ได้ค้นเจอเว็บไซต์ของเราก่อนคู่แข่ง ไม่เพียงเพิ่มอิสระในการขายเท่านั้น แต่ยังมียอดขายเติบโตต่อเนื่องได้แม้จะมีจำนวนคู่แข่งในตลาดเดียวกันมากขึ้นก็ตาม

SEO กลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายหรือสร้างผลกำไรให้ผู้ประกอบการผ่านทางออนไลน์ ถือเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับการโฆษณาผ่านช่องทางอื่นๆ กระบวนการทำ SEO ถ้าทำได้ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกๆ และต้องดูแลอยู่เสมอ อย่างน้อยต้องทำการอัปเดตข้อมูลหรือเพิ่มบทความอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รักษาอันดับการค้นไว้ได้ ยิ่งค้นเจอเว็บไซต์ของเราเท่าไรยิ่งมีโอกาสจับลูกค้าได้อยู่หมัดมากขึ้น

4 เทคนิคในการเขียนบทความ ให้ติดหน้าแรกของ Google

Jimbe Allen
22/05/2022
4 เทคนิคในการเขียนบทความ ให้ติดหน้าแรกของ Google

SEO นั้น เป็นเทคนิคที่เว็บไซต์ต่าง ๆ นิยมใช้เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเราสามารถทำให้เว็บไซต์ให้ติดอันดับในการค้นหาจาก Search Engine ในหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหา จะทำให้เราโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักได้โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาแม้แต่น้อย เพราะการเขียนบทความที่มีคุณภาพ ตรงตามหลักการ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของเราเข้าถึงผู้ชมได้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สามารถทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมบทความ SEO จึงมีความสำคัญกับการตลาดออนไลน์

จากพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เวลาที่มีข้อสงสัยบางอย่าง หรือต้องการหาข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะค้นหาผ่าน Search Engine อย่าง Google ด้วยคำเพียงสั้น ๆ หากเราเขียนบทความได้ดี แต่ไม่ตรงกับคำค้นหาของผู้คนโดยส่วนใหญ่ ก็คงเหมือนการทำงานที่เสียเวลาเปล่า เพราะจะไม่มีคนหาเว็บไซต์ของเราเจอ นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่นักเขียน นักทำคอนเทนต์ หรือเจ้าของกิจการรูปแบบออนไลน์ ต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO

4 เทคนิคการเขียนบทความ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google

  1. เลือกคีย์เวิร์ด – การเขียนบทความ SEO สิ่งแรกที่สำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับเรื่องที่ต้องการสื่อสาร เพื่อที่จะให้ผู้คนค้นหามาเจอบทความของเรา คีย์เวิร์ดที่ดี จะทำให้บทความของเราติดอันดับการค้นหา
  2. การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด – เมื่อเราเลือกคีย์เวิร์ดได้ตรงกับเรื่องแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การเลือกคีย์เวิร์ดที่มีผู้ค้นหาน้อยเกินไป จะทำให้บทความของเราไม่ค่อยถูกแสดงในผลการค้นหา ไม่ควรใช้ศัพท์เฉพาะจนเกินไป ควรเป็นคำกว้าง ๆ ที่ผู้คนกล่าวถึง ซึ่งการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการลองพิมพ์คำใดคำหนึ่งลงไปใน Search Engine แล้วลองดูว่าคำแรก ๆ ที่ขึ้นมาคือคำว่าอะไร เราก็จะได้เลือกคำนั้นมาเป็นคีย์เวิร์ด หรืออาจจะใช้โปรแกรมวิเคราะห์คีย์เวิร์ดมาช่วยด้วยก็ยิ่งดี
  3. การกระจายคีย์เวิร์ดลงในบทความ – เมื่อเราเลือกคีย์เวิร์ดได้แล้ว ซึ่งควรจะมีคำที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง เราต้องนำคีย์เวิร์ดนั้นมาแทรกไว้ตามส่วนต่าง ๆ ในบทความ ไม่ควรใส่น้อยจนเกินไปหรือมากจนเกินไป และควรกระจายไปให้ทั่วบทความ ที่สำคัญต้องไม่ทำให้เนื้อหาอ่านแล้วรู้สึกติดขัด ควรแทรกคีย์เวิร์ดอย่างแนบเนียน ไม่อ่านแล้วดูจงใจมากนัก เพื่อความลื่นไหลในการอ่าน ไม่รู้สึกสะดุดหรือไม่เข้าใจความหมายของประโยค
  4. เขียนบทความให้มีคุณภาพ – นอกจากการให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดแล้ว การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตอบข้อสงสัยของผู้อ่านได้ หรือให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นผู้อ่านก็จะไม่ให้ความเชื่อถือเว็บไซต์ของเรา และระบบ Search Engine จะประเมินว่าบทความหรือเว็บไซต์ของเราไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาด้วย

Google Trends มีประโยชน์กับธุรกิจออนไลน์อย่างไร ?

Google Trends

หากคิดถึงการทำ Search Engine Optimization seo หรือ SEO คือ หนึ่งในเครื่องมือการทำการตลาดบน Search Engine หรือ SEM (Search Engine Marketing) แบบไม่เสียเงิน โดยข้อดีในการทำ SEO บนเว็บไซต์ไม่เพียงแต่จะช่วยให้หน้าเว็บติดอันดับอย่างยั่งยืนบนหน้าแรกของ Google (Search Engine อันดับ 1 ของโลก) แต่ยังช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือในตัวสินค้าหรือบริการบนหน้าเว็บไซต์ด้วย โดย Google Trends เป็นหนึ่งใน SEO Tools ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

google trends คืออะไร ?

google trends คือ เครื่องมือช่วยเช็คเทรนด์ Keyword ที่นำมาใช้ในการค้นหาใน Google Search ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO โดยเฉพาะการตีตลาดกลุ่ม ผลบอลสด7m ที่มีการแข่งขันสูง ยิ่งจำเป็นต้องใช้ เพราะในบางครั้งการเลือกคำโดยไม่ใช้ Google Trends ช่วยวิเคราะห์อาจทำให้เสียเวลาในการทำ Content ได้ เพราะ Keyword หรือคำที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลบางคำเป็นคำตกยุค หรือเป็นคำที่เป็นกระแสแค่ช่วงสั้น ๆ

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ

google trends เป็นเครื่องมือที่ให้บริการฟรี! โดยผู้ที่ต้องการใช้งานสามารถเข้าสู่เว็บไซต์ได้จากลิงก์ https://trends.google.co.th/trends/?geo=TH เมื่อเข้าสู่เว็บไซต์จะพบกับช่องค้นหาที่เราสามารถใส่ Keyword ที่ต้องการลงไป หลังจากที่ใส่ Keyword เราสามารถเลือกดูเทรนด์ความสนใจได้ด้วยการเลือกภาษาที่ใช้ในการค้นหา, ระยะเวลา, หมวดหมู่และ Search Engine ที่ต้องการ เมื่อเรียบร้อยแล้วระบบจะแสดงผลลัพธ์เกี่ยวกับภูมิภาคที่ค้นหามากที่สุด 5 อันดับ พร้อมแนะนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเราสามารถนำมาใช้เพิ่มความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์ได้ นอกจากนี้ google trends ยังมีฟังก์ชันที่ช่วยในการเปรียบเทียบคำค้นหาที่ช่วยให้การตัดสินใจเลือก Keyword ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขั้นตอนการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจออนไลน์

  • เขียนคำค้นหา (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ โดยเราสามารถลิสจากคำที่เรานึกออกหรือนำลิงก์เว็บไซต์คู่แข่งไปค้นหาใน Keyword Research Tools เพื่อดู Keyword ที่เว็บไซต์คู่แข่งนำมาใช้
  • นำคำค้นหา (Keyword) ที่ได้มาวิเคราะห์ด้วย Keyword Research Tools เพื่อดูปริมาณการค้นหา, ระดับความยากในการแข่งขันและดูคำค้นหาที่เกี่ยวข้องที่สามารถนำมาปรับใช้ในการสร้าง Content เพิ่มเติม
  • นำคำค้น (Keyword) ค้นหาใน Google Trends เพื่อตรวจสอบเทรนด์ความสนใจว่าคำค้นหาที่จะนำมาใช้ยังเป็นที่นิยมหรือไม่
  • นำคำค้น (Keyword) ค้นหาใน Search Engine ที่ต้องการทำ SEO การนำคำค้นหาที่เราจะนำมาใช้ไปค้นหาใน Search Engine จะช่วยให้เราทราบถึงสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายกำลังให้ความสนใจ ซึ่งเราสามารถนำความสนใจนั้นมาใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

Google Trends เครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่สะดวกสบาย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยในการวิเคราะห์เทรนด์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายด้วยคำค้นหาหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและแนะนำคำค้นหา หรือหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เราสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาหรือต่อยอดธุรกิจออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงใจกลุ่มเป้าหมายหลักมากขึ้น

กลยุทธ์การทำ SEO รักษาลูกค้าเก่าที่ธุรกิจควรรู้

Jimbe Allen
13/04/2022
กลยุทธ์การทำ SEO รักษาลูกค้าเก่าที่ธุรกิจควรรู้

ธุรกิจสมัยนี้ควรเรียนรู้เรื่องการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ เป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างเหนียวแน่น ไม่มุ่งเน้นเฉพาะมองหาลูกค้าใหม่อย่างเดียว เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าคนที่มองเห็นและเข้ามาทำความรู้จักสินค้าหรือแบรนด์จะตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาในเว็บไซต์

ทราบกันดีว่าการทำ SEO เป็นเทคนิคการโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาลำดับแรก ๆ ใน Google ส่งผลให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นและยังมีโอกาสเสนอขายสินค้าหรือบริการได้ก่อนคู่แข่งในตลาดเดียว การทำตลาดออนไลน์ถือเป็นช่องทางการโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าโฆษณาแบบดั้งเดิม ซึ่งการโฆษณาดึงดูดลูกค้าใหม่นั้นมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาลูกค้าเดิมมากกว่า 5 เท่า ธุรกิจใหม่ที่ยังมีงบประมาณไม่มากนักควรเน้นการเพิ่มโอกาสขายจากลูกค้าเก่าเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ 

เหตุผลที่ธุรกิจจำเป็นต้องทำ SEO ในเว็บไซต์เพื่อให้โปรโมทแบรนด์หรือสินค้าทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีผลให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ในปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ทำ SEO โดยพุ่งเป้าไปที่การหาลูกค้าใหม่จำนวนมากด้วยความเข้าใจว่าหากเว็บไซต์ไต่อันดับดีขึ้นและแสดงผลให้ผู้ค้นหาเห็นอย่างรวดเร็วจะเป็นการเสนอตัวให้ลูกค้าได้เห็นก่อนคู่แข่ง รวมถึงทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมมากขึ้น ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในอนาคต

แต่เว็บไซต์ที่หาเจอง่ายไม่ใช่ปัจจัยอย่างเดียวที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การซื้อกับเว็บไซต์นั้น ๆ มาก่อนอาจจะเห็นว่าลำดับของเว็บไซต์อาจไม่หนักแน่นพอ กลยุทธ์การทำ SEO ควรเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าไว้ก่อน ถ้าลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อแบรนด์แล้วไม่เพียงจะสานต่อความสัมพันธ์อุดหนุนกันไปนาน ๆ เท่านั้น แต่ยังบอกต่อและแชร์ข้อมูลดีๆ เพื่อให้ลูกค้าใหม่เข้ามาซื้อสินค้าหรืออุดหนุนบริการมากขึ้นด้วย

แน่นอนว่าการมองหาลูกค้าใหม่จะเพิ่มฐานลูกค้าให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น แต่การทำ SEO มักจะเห็นผลช้า กว่าจะเพิ่มยอดขายได้อาจใช้เวลานานหลายเดือน ธุรกิจจึงไม่ควรละเลยเรื่องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่าซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำได้อีก ถือเป็นการเดินเกมธุรกิจที่ปลอดภัยและเหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันซึ่งคนส่วนใหญ่พยายามรัดเข็มขัดไม่จับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือย ลูกค้าเก่าที่ใช้สินค้าหรือบริการมาแต่แรกเห็นถึงคุณภาพและประสิทธิภาพมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์จะยังคอยอุดหนุนกันอยู่เสมอ

การทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO โดยปกติแล้วจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างช้าแต่คุ้มค่าในระยะยาว ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากการทำ SEO ได้หลายทาง ไม่เฉพาะทำให้ลูกค้าใหม่รู้จักเท่านั้น แต่ทำให้ลูกค้าดั้งเดิมพอใจ มีความรู้สึกภักดีต่อองค์กรในระยะยาวและรอสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต ไม่เพียงควักกระเป๋าซื้อมากขึ้นแต่ยังจะอุดหนุนอย่างต่อเนื่องไปอีกนานด้วย ธุรกิจจะไม่สูญเสียลูกค้าเก่าให้คู่แข่งไปอย่างง่ายดายนั่นเอง

ฉบับเว็บพนันออนไลน์ 5 เทคนิค SEO สายเทา 

ฉบับเว็บพนันออนไลน์ 5 เทคนิค SEO สายเทา

ทราบกันดีว่าการทำ SEO นั้นมีอยู่ 2 สาย คือ สายขาว (White Hat Seo) และ สายดำ (Black Hat Seo) โดย Seo สายขาว จะพยายามทำอันดับเว็บของเราให้ติดอันดับ ด้วยวิธีการที่เป็นไปตามกฎระเบียบของ Google นั่นเอง ซึ่งข้อเสียคืออาจจะไม่ทันใจใครหลายคนเพราะว่าจะติดหน้าแรกนั้นใช้เวลานาน แต่หากจะมองถึงข้อดีก็คือวิธีของสายขาวนี้จะทำให้การติดอันดับอยู่ยาวนานและยั่งยืนมากกว่าวิธีของสายดำ แต่ถึงอย่างไรแล้วการทำ SEO ในรูปแบบ SEO สายดำที่ไม่ผิดกฎของ Google เหมือนกับสายขาว ก็มีหลายวิธีเหมือนกัน 

1. เพิ่มความยาวคอนเทนต์ให้มากขึ้น : เนื้อหาควรมีความยาวมากๆ จึงจะมีผลต่อทราฟฟิกที่ดีขึ้น โดยคำแนะนำจากหลายกูรูต่างประเทศ ส่วนคอนเทนต์นั้นควรมีเนื้อหาอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 1,000 คำ หรือ Keyword ที่ใช้มีการแข่งขันสูงมาก อาจจะต้องเพิ่มความยาวในเนื้อหาเป็น 2,000 คำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสม โดยจะอยู่ระหว่าง 1,000-1,500 คำ

2. ซื้อโดเมนเก่ามาซะ : เป็นหนึ่งในเทคนิคสายเทาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของการซื้อโดเมนที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยในการทำ Backlink ได้ โดยที่ไม่ผิดกฎของ Google แต่อย่างใด และสิ่งสำคัญหลักจากซื้อโดเดนเก่ามาแล้ว อย่าลืมปรับปรุงให้ดูเหมือนเป็นเว็บที่ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ และควรเช็คสักนิดว่าโดเมนที่จะซื้อนั้นไม่ได้ถูกแบนจาก Google หากเป็นไปได้การเลือกซื้อโดเมนที่เกี่ยวข้องกับ Keyword โดยตรงจะเวิร์ดกว่า

3. ใช้ PBN : จริงอยู่ว่าการใช้วิธีนี้อาจเป็นหนึ่งในวิธีการทำ SEO สายดำ แต่นั่นหมายถึงตอนที่ใช้ PBN ส่ง Backlink ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกัน เพื่อหลอกทาง Google ให้เสี่ยงต่อการถูกแบน สำหรับวิธีการของสายเทา จะต้องปรับพวก PBN ที่ได้มาให้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นการทำอันดับหน้าแรกก็จะง่ายขึ้นและเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

4. ใช้ Keyword Density ให้เกิดประโยชน์สูงสุด : การยัดเยียดคีย์เวิร์ดลงไปในเนื้อหามากๆ หรือที่เรียกว่าการ Keyword Stuffing หากทำอย่างไม่มีศิลปะแล้วก็ ย่อมเข้าทางของสายดำอย่างไม่ต้องสงสัยกันเลย แต่การทำ Seo สายเทาในรูปแบบ Keyword Stuffing นั้นจะต้องทำอย่างมีหลัก เพื่อให้ Keyword กระจายอยู่ทั่วๆเนื้อหาและไม่ทำให้เนื้อหาที่อ่านดูสับสน

5. ระวังการใช้ Social Bookmark : การใช้ Social Bookmark นั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้าง Backlink ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นเหมือนการแชร์เว็บลงไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่างไรก็ตามโปรดจำไว้เสมอว่า อะไรที่มากจนเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นควรใช้วิธีนี้เพียง 1-2 ครั้งต่อลิ้งค์

โดยส่วนใหญ่แล้วเว็บพนันออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในการทำ SEO สายเทา นั้นออกแนวคาสิโนออนไลน์ หวยออนไลน์ เกมสล็อตออนไลน์ และที่ติดชาร์ทมาตลอดกาลคือ แทงบอลออนไลน์ มีหลายทางที่ทำให้อันดับติดท็อปหน้า Google ไวมาก อาทิเช่นคีย์เวิร์ด วิเคราะห์บอล สามารถทำง่ายนิดเดียว เพราะแค่เขียนวิเคราะห์บอลแต่ละคู่ลงไปในเว็บและก็เชื่อมลิ้งค์ไปยังหน้านั้นหน้านี้ และที่สำคัญยังต้องมีสถิติของแต่ละคู่มาประกอบด้วย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้คนที่เข้ามาดู ซึ่งถือว่าเป็นทริกเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพ

การทำ SEO อย่างถูกต้องให้ประโยชน์อย่างไร

Jimbe Allen
25/02/2022
การทำ SEO อย่างถูกต้องให้ประโยชน์อย่างไร

หลายคนเคยได้ยินเรื่องราวของการทำ SEO หรือ “Search Engine Optimization” เพื่อให้เว็บไซต์ถูกพบเห็นง่ายขึ้นบนอินเทอร์เน็ต วิธีการทำ SEO ควรสร้างเว็บไซต์อย่างถูกต้องตามกฎกติกาของเครื่องมือค้นหาเท่านั้นจึงจะติดอันดับที่ดีได้ ไม่เช่นนั้นแล้วการทำผิดกฎอาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์และถูกแบนได้ในอนาคต เมื่อการทำ SEO เป็นไปอย่างถูกต้องจะให้ประโยชน์ดังนี้

-การทำ SEO ที่เป็นมาตรฐานช่วยให้ผู้ค้นหาเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่าย ในยุคปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันสูง แต่ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีงบประมาณการโฆษณาแบบดั้งเดิม จึงเบนเข็มมาทำเว็บไซต์และโฆษณาทางโซเชียลมีเดียซึ่งใช้ต้นทุนต่ำ แต่เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม ทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หากการทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของเครื่องมือค้นหา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะโชว์ธุรกิจให้เห็นกันมากขึ้นเพราะเว็บไซต์เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมงสามารถโปรโมทธุรกิจได้ทุกเวลา

-การทำ SEO อย่างถูกต้องทำให้เนื้อหาบทความน่าอ่านและมีประโยชน์ โดยเฉพาะการแทรกคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม เมื่อผู้คนมีความสนใจค้นหาสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้าหรือบริการก็ตาม จะค้นพบเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ใครเสนอขายได้ก่อนย่อมมีความได้เปรียบคู่แข่งในประเภทธุรกิจเดียวกัน นอกจากนี้ต้องมั่นใจว่าผู้ค้นหาจะสามารถเข้าเว็บไซต์อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการได้ทุกเวลา

-ถึงจะมีผู้คลิกเข้าชมจำนวนมาก มีโอกาสสร้างลูกค้าใหม่แต่ไม่ได้หมายความจะเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้นเสมอไป ยังขึ้นอยู่กับสินค้า ราคา และข้อมูลในเว็บไซต์ด้วย หากคุณภาพสินค้าและราคาไม่แตกต่างกัน การทำ SEO เลือกใช้บทความที่มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ ทันสมัย ไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น รวมทั้งเลือกคีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมทำให้ค้นพบข้อมูลตรงตามต้องการ ผู้ค้นหาเกิดความประทับใจและกลับมาใช้งานซ้ำอีกซึ่งส่งผลดีต่อการประเมินเว็บไซต์ทำให้ติดอันดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

-เมื่อการทำ SEO ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน เป็นไปได้ที่ผู้ใช้จะกลายมาเป็นลูกค้าใหม่ในอนาคต การกลับมาใช้งานซ้ำอีกหมายถึงเป็นโอกาสที่จะปิดยอดขายได้อีก ทำให้เกิดการซื้อซ้ำสร้างประโยชน์ให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ แสดงถึงความพอใจในข้อมูลและบริการของเว็บไซต์ รวมถึงความพอใจในตัวสินค้าและราคา สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้ารายใหม่ ๆ ที่เข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น

ประโยชน์ที่ได้จากการทำ SEO มีมากมาย สิ่งที่เด่นชัดคือเป็นเครื่องมือโฆษณาที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เหมาะสำหรับธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มต้นมีโอกาสเปิดตัวแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างท่ามกลางการแข่งขันในโลกธุรกิจออนไลน์ การเสนอสินค้าและบริการให้ลูกค้าเป้าหมายได้เห็นก่อนคู่แข่งไม่เพียงทำให้ลูกค้าและมีโอกาสปิดยอดขายได้เท่านั้น แต่ความประทับใจในเว็บไซต์จะช่วยเรื่องการจดจำแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักอย่างกว้างขวาง

ประโยชน์ของการทำ SEO ที่ไม่ควรมองข้าม

Jimbe Allen
13/01/2022
ประโยชน์ของการทำ SEO ที่ไม่ควรมองข้าม

การทำ SEO ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการก้าวเข้ามามีบทบาทให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นหรือส่วนแบ่งทางการตลาด โดยวันนี้จะมาแนะนำถึงประโยชน์ของการทำ SEO ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างไรบ้างนั้นไปดูกันเลย

1.ลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด

ปัจจุบันการทำ SEO มีช่องทางให้เลือกมากมายผ่านสื่อออนไลน์และที่สำคัญฟรี! ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณาลงไปได้ หรือการทำ SEO ผ่านเว็บไซต์ของตนเอง ก็จะช่วยให้การค้นหาของลูกค้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

2.สร้างคอนเทนต์ได้หลากหลาย

เมื่อผู้ประกอบการมีเว็บไซต์และสื่อออนไลน์เป็นของตนเอง สามารถที่จะสร้างคอนเทนต์ให้กับลูกค้าได้ติดตามได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บทความ, การรีวิวสินค้าผ่านวีดีโอหรือการนำเสนอข้อมูลสินค้าจากประสบการณ์ผู้ใช้งานจริง 

3.เป็นพื้นที่ในการโปรโมทสินค้าตลอดเวลา

เมื่อทุกอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ การทำ SEO เพื่อโปรโมทสินค้าจึงทำหน้าตลอด 24 ชั่วโมง แบบไม่มีหยุดพัก สามารถสร้างความได้เปรียบกับคู่แข่งที่ต้องไปจ้างบริษัทโฆษณา ที่ไม่สามารถโปรโมทสินค้าให้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

4.สร้างความน่าเชื่อถือ

เมื่อคุณทำ SEO บนเว็บไซต์ของตนเองก็จะทำให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือจากบรรดาลูกค้าหรือผู้ที่สนใจเข้ามารับชมผ่านทางเว็บไซต์ ยิ่งเว็บไซต์ได้รับความนิยมและมีการตอบรับจากลูกค้าจำนวนมาก ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้าหน้าใหม่ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้

5.สร้างฐานลูกค้าและขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

หลังจากที่เว็บไซต์และตัวสินค้าได้รับความนิยมเท่ากับว่าคุณมีการสร้างฐานลูกค้าไปในตัว หากมีการบอกปากต่อปากหรือค้นหามากยิ่งขึ้นผ่าน Search Engine ก็จะเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้นไปในตัว ไม่เฉพาะแต่ในลูกค้าภายในประเทศเท่านั้น แต่สามารถขยายฐานลูกค้าออกไปไกลยังต่างประเทศได้อีกด้วย

6.ใช้เป็นพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์ของธุรกิจ

ไม่เพียงแต่การโปรโมทเพื่อขายสินค้าได้ตลอดเวลาเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์ ข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังทำอยู่หรือใช้เป็นพื้นที่ในการแจ้งข่าว รับสมัครงาน เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมหรือสมัครงานได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

ด้วยคุณประโยชน์ของการทำ SEO อย่าลืมที่จะทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ธุรกิจของตนเอง เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินหน้า เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพิ่มยอดขาย เพียงศึกษาและวิธีการทำ SEO ให้ถูกต้อง ตามกฎ ระเบียบของ Search Engine ทำเว็บอย่างสร้างสรรและหมั่นอัปเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เชื่อได้ว่าเจ้าของกิจการจะต้องประสบความสำเร็จและสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าจากการทำ SEO อย่างแน่นอน

เมื่อไหร่ควรทำ SEO และ SEM

Jimbe Allen
19/11/2021
เมื่อไหร่ควรทำ SEO และ SEM

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน โดย SEO คือการทำคุณภาพเว็บไซต์ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่ Google กำหนด เพื่อใช้ในการจัดอันดับนำเสนอบนหน้าจอการสืบค้น เว็บไซต์ที่มีค่า SEO สูงก็จะได้รับอันดับที่สูงตามไปด้วย ส่วน SEM คือการซื้อพื้นที่โฆษณาในบริเวณส่วนต้นของหน้าแรก Google

เรามาดูกันว่า เมื่อไหร่ที่เจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO และ SEM

1.ระยะเวลาเห็นผล
SEO จำเป็นต้องใช้การสะสมของข้อมูลที่ยาวนานกว่า SEM ทั้งด้านการผลิตงานเขียนและภาพประกอบที่มีคุณภาพ การปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ การเขียนโค้ดและจัดวางคอลัมน์ต่าง ๆ ให้ใช้งานง่าย อันเป็นที่ประทับใจต่อลูกค้า เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานหลายเดือนกว่าจะเห็นผล ส่วน SEM จะช่วยเพิ่มยอดขายอย่างรวดเร็วทันที แต่ SEM ก็มีค่าใช้จ่ายจากการประมูลและการคลิกแต่ละครั้งหรือ PPC ผู้ที่จะทำ SEM จึงต้องพิจารณาถึงความคุ้มทุนในจุดนี้ด้วย

2.คู่แข่งทางการค้า
ในธุรกิจที่เป็นแนว Red Ocean หรือมีการแข่งขันกันสูง ทุกองค์กรต่างทำ SEO เพื่อให้คุณภาพของเว็บไซต์แข่งกันได้ในระยะยาว จะได้เป็นเจ้าครองตลาดอย่างไม่มีใครมาเทียบได้ ถ้าคุณเป็นเจ้าใหม่ในธุรกิจใด ๆ หากทำ SEO อย่างเดียว อาจท้อได้ง่าย เพราะในระยะแรกอาจแทบไม่มีคนคลิกเข้ามาในเว็บไซต์เลย ในที่สุดคุณอาจท้อแท้และเลิกธุรกิจไป ดังนั้น คุณจึงควรทำ SEM ยิงโฆษณาควบคู่ด้วย โดยเฉพาะการเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือมีโปรโมชั่นใหม่ ๆ ที่น่าดึงดูดใจ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเปิดใจอยากลองใช้สินค้าใหม่ในแบรนด์คุณมากขึ้น

3.ประเภทของสินค้า
ถ้าเป็นสินค้าแนวแฟชั่นหวือหวาตามความนิยมของผู้คน แนะนำให้ทำ SEM เพื่อกระตุ้นการซื้อเช่น ต้นไม้ใบด่างที่ผู้คนนิยมซื้อตามคนดัง เครื่องสำอางที่เซเลบบริตี้เป็นพรีเซนเตอร์ ฯลฯ ควรทำ SEM เกาะกระแสให้ผู้คนซื้อสินค้านั้นผ่านเว็บไซต์คุณในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่คนจะเลิกฮิต ส่วนสินค้าประเภทของใช้อุปโภคบริโภคทุกวัน ได้แก่ ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ แชมพู ฯลฯ เราแนะนำว่าทำ SEO อย่างต่อเนื่องจะดีกว่า เพราะเป็นสิ่งของจำเป็นพื้นฐานของทุกครัวเรือน ที่เราไม่จำเป็นต้องเร่งรีบจำหน่าย แต่ผู้ซื้อมักสนใจที่ความจริงใจในเนื้อหาการนำเสนอที่ไม่เน้นการขายมากเกินไป หรือ hard sale

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO และ SEM อยู่บนหลักพื้นฐานแตกต่างกัน ระยะเวลาหวังผลคนละแบบ และเหมาะกับสินค้าแต่ละประเภทต่างกันไป แต่อย่างไรก็สามารถทำเสริมควบคู่กันได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทำธุรกิจออนไลน์ คือ เพิ่มยอดขายสินค้า ขยายฐานลูกค้า สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและบอกต่อ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักธุรกิจออนไลน์ทุกคนประยุกต์ใช้สองแนวทางนี้ได้อย่างดียิ่งขึ้นต่อไป

SEO คืออะไร ต่างจากเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์อื่นอย่างไร?

Jimbe Allen
22/10/2021
SEO คืออะไร ต่างจากเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์อื่นอย่างไร?

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเป็นอย่างมาก อย่างน้อยการ work from home ก็ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ เช่น Zoom หรือ MS Team แต่การดำเนินงานภายในก็เรื่องหนึ่ง ส่วนการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยลูกค้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งองค์กรต้องให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจด้วย โดยเครื่องมือที่นิยมใช้คือ SEO และเสริมด้วยเครื่องมือการตลาดออนไลน์อื่นร่วมด้วยซึ่งวันนี้เราจะมาเรียนรู้กัน

การเติบโตของธุรกิจในยุค 4G จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์เป็นหลักเนื่องจากผู้คนมีการใช้งานสื่อโซเชียลตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งผู้บริโภคยุคใหม่มีการค้นหาข้อมูลสินค้าหรือบริการรวมถึงเปรียบเทียบคุณสมบัติของสิ่งที่ต้องการบนออนไลน์ที่มีให้ค้นหาได้อย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นหากธุรกิจต้องการอยู่รอดจึงจำเป็นต้องทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ของธุรกิจ มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้ลูกค้าบอกต่อโดยเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ SEO และยังรวมถึง SEM, SMM ที่ใช้คู่กันด้วย เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ทั้ง 3 ประเภทสนับสนุนกันอย่างไร?

SEO (Search Engine Optimization) คือการสร้างคีย์เวิร์ด (Keyword) ในเว็บไซต์ของธุรกิจเพื่อให้แบรนด์ของธุรกิจได้ถูกค้นพบในอันดับต้น ๆ ของแถบเครื่องมือการค้นหาอย่าง Google, Yahoo หรือ Bing โดยเทคนิคที่จะทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจถูกค้นหาได้ง่ายจาก SEO คือการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) สั้น จำง่าย และสอดคล้องกับสินค้าหรือบริการ รวมถึงการใช้เทคนิค SEO off page ด้วยการฝากลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ให้เชื่อมไปสู่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจร่วมด้วย จะได้เป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้บริโภครู้จักธุรกิจได้มากขึ้น สาเหตุที่ธุรกิจส่วนใหญ่นิยมทำ SEO มากที่สุดเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อาจจะเห็นผลความสำเร็จช้าหากคีย์เวิร์ดที่ใช้ไม่ใช่คำนิยมค้นหาหรือหน้าเว็บไซต์ธุรกิจไม่เป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค

SEM (Search Engine Marketing) คือการซื้อโฆษณากับ Google หรือคือการทำ Google AdWords เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจได้ขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก ๆ ของการค้นหาจาก Google สาเหตุที่ควรทำ SEM ร่วมกับ SEO เนื่องจากธรรมชาติของการค้นหาของผู้บริโภคหากข้อมูลที่ต้องการค้นหาตกไปอยู่ในหน้าหลัง ๆ ของ Google ก็จะไม่ได้รับความสนใจ ดังนั้น SEM จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคได้รู้จักแบรนด์ของธุรกิจได้มากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นจากจำนวนคลิกที่มีคนคลิกลิงก์เข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจ

SMM (Social Media Marketing) คือการทำการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์เช่น Facebook หรือ Instagram ซึ่งเป็นเทคนิคต่อเนื่องจากการทำ SEO และ SEM คือเมื่อผู้บริโภคเข้ามาถึงหน้าเว็บไซต์หรือเพจของบริษัทแล้วก็ต้องมีกลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ลด แลก แจก แถม เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเกิดการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจต่อไป หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ SMM เป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายของธุรกิจนั่นเอง

พูดได้ว่าด้วยการแข่งขันที่รุนแรงบนโลกออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ธุรกิจจึงต้องใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดให้ผู้บริโภคได้ทำกิจกรรมกับธุรกิจด้วยเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ทั้ง 3 ประเภทร่วมกันเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตบนโลกออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน

เคล็ดลับ SEO ทำให้อย่างไรให้คนเข้าเว็บไซต์เพิ่ม

Jimbe Allen
30/08/2021
เคล็ดลับ SEO ทำให้อย่างไรให้คนเข้าเว็บไซต์เพิ่ม

การทำ SEO หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมากขึ้น ปรากฏในผลการค้นหาบ่อยขึ้น และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาใน Google เพื่อไม่ให้พลาดยอดขายก่อนคู่แข่ง ในแต่ละปีเว็บไซต์ต้องทำการปรับปรุงเพื่อให้ไม่ให้อันดับเลื่อนลงไปจนผู้ชมมองไม่เห็น หรือต้องเปิดผ่านไปหลายหน้า โดยมีสิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่าง

เห็นได้ชัดว่าปัจจัยการจัดอันดับ SEO มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เพียงเพราะเว็บไซต์คู่แข่งเปิดตัวออกมามากขึ้น แต่เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาก็ยังเปลี่ยนไปด้วย มีคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ เข้ามา คำค้นหาที่ตกยุค ขณะเดียวกันหลักการสำคัญยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งแรกที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษคือประสบการณ์ของผู้ใช้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลดีต่อการจัดอันดับจาก Google

เจ้าของเว็บไซต์ต้องวิจัยผลสำเร็จของตนเอง ดูว่าผู้ใช้โต้ตอบกับผลการค้นหาอย่างไร ดูคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาบ่อย ๆ พร้อมกับการจัดลำดับคำที่ใช้แล้วได้ผลลัพธ์ถูกใจและเข้ามาใช้งานซ้ำอีกจะทำให้อันดับเลื่อนสูงขึ้น เวลาที่ผู้เยี่ยมชมอยู่ในเว็บไซต์นานมากกว่า 3 นาทีเป็นเวลาที่ดี ถ้าคลิกเข้ามาไม่นานแล้วคลิกออกจากเว็บไซต์ทันที จะเกิดผลเสียทำให้อันดับของเว็บไซต์ตกลงไป แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ของผู้ใช้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการจัดอันดับ

เมื่อพูดถึงการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาจะเห็นความสำคัญของคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดและหลากหลาย คีย์เวิร์ดหลักที่เป็นคำสั้นใช้กระจายไปในหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ เพราะการใช้คำซ้ำมากเกินไปทำให้เป็นปัญหาและถูกมองว่าเป็นสแปมได้ สำหรับคีย์เวิร์ดยาวจะใช้ในการค้นหาผลลัพธ์แบบเฉพาะเจาะจง ค่อย ๆ ปรับเลือกคำที่เหมาะสมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหาได้ตรงจุดที่สุด เมื่อมีคนเข้ามาชมเว็บไซต์และตัดสินซื้อสินค้าที่ถูกใจ เท่ากับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

หลังจากเลือกคีย์เวิร์ดได้แล้ว ควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของบทความ เนื้อหาบทความมีความชัดเจน กระชับรัดกุม พร้อมกับแทรกคำลงไปในตำแหน่งที่เหมาะสม เลือกคำสั้นและยาวใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้กลยุทธ์การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้รูปภาพและวิดีโอเป็นจุดดึงดูดผู้ชมได้ดี เพราะคนจำนวนไม่น้อยเลือกดูวิดีโอความยาว 1 นาที แต่ไม่อดทนอ่านบทความเพียง 100 คำ ทั้งที่ใช้เวลาเท่ากัน การใช้คีย์เวิร์ดในรูปภาพและวิดีโอเป็นการทำ SEO อย่างมีศักยภาพเพื่อให้คนเห็นมากขึ้นและเข้าชมเป็นจำนวนมาก เคล็ดลับสำคัญคือเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

สรุปหลักการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ ต้องขยันศึกษาอัปเดทความรู้ตลอดเวลาเพื่อให้มั่นใจได้ว่าใช้กลยุทธ์ SEO อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับปัจจุบันที่สุด สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีดึงดูดคนจำนวนมาก สร้างโอกาสในการขาย และเพิ่มยอดขายมากขึ้นในอนาคต